top of page

สรุป หนังสือ Trend Following  

“Trend Following is not prediction. It is reaction.”

– Michael Covel



ree

🔥 สรุป แนวคิดการลงทุนตามเทรนด์จากหนังสือระดับโลก

Trend Following is not prediction. It is reaction.”– Michael Covel

Trend Following คือแนวทางการเทรดที่เชื่อว่า"คุณไม่ต้องทำนายอนาคต" แต่ควร "ตอบสนอง" อย่างมีระบบต่อสิ่งที่ตลาดแสดงให้เห็นผ่าน “ราคา” เท่านั้น

ระบบนี้แตกต่างจากการวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) หรือเทคนิคอลแบบเดิม ๆ เพราะไม่พยายามเดาว่าตลาดจะขึ้นหรือลงแต่ รอเทรนด์ แล้ว "ไหลไปกับมัน" อย่างเป็นระบบ

📚 แก่นคิดของหนังสือ Trend Following

1. ตลาด = สนามประลองอารมณ์


  • ราคาสะท้อนความกลัว โลภ และความหวัง

  • ไม่จำเป็นต้องรู้สาเหตุของการขึ้นหรือลง

  • สนใจแค่ "ราคา" เป็นตัวตัดสินใจ


2. เทรนด์มา → เข้า เทรนด์จบ → ออก


  • ไม่คาดการณ์ ไม่เดาอนาคต

  • เข้าตามสัญญาณราคายืนยัน

  • ไม่มีเทรนด์ = ไม่ทำอะไร


3. Fundamental Analysis มีจุดอ่อน


  • บริษัทตกแต่งงบได้

  • ข่าวมักล่าช้า ไม่ตรงกับการเคลื่อนไหวราคา

  • ความเข้าใจผิดอาจทำให้นักลงทุนแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม


4. ระบบ Mechanical Trading คือกุญแจ


  • วางกฎตายตัว (ไม่พึ่งอารมณ์)

  • ตัดสินใจด้วยกฎชัดเจน เช่น ทะลุ High 50 วัน → ซื้อ

  • ช่วยเอาชนะความโลภ ความกลัว และอคติในตัวเอง


5. ความผันผวน (Volatility) = เพื่อน ไม่ใช่ศัตรู


  • ตลาดที่นิ่งเกินไป = ไม่มีโอกาส

  • ความผันผวนสูง = โอกาสสร้างกำไรของ Trend Followers


📈 ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ Trend Following รอดได้


  • 📉 วิกฤตฟองสบู่ดอทคอม (2000–2002)

  • 🏦 การล่มสลายของ Barings Bank (1995)

  • 🌏 วิกฤตเศรษฐกิจเอเชีย (1997)

  • 🧮 Collapse ของ Hedge Fund ชื่อดัง LTCM (1998)

Trend Followers ไม่เดาว่า "ทำไม" แต่ "ตอบสนอง" ตามราคาที่เกิดขึ้นจริง



⚡ เหตุผลที่ Trend Following รอดเสมอ


  • ไม่พยายามชนะตลาด แต่ "อยู่ให้รอด" กับตลาด

  • ไม่หลงเชื่อ hindsight หรืออคติย้อนหลัง

  • มีวินัย มากกว่าความอัจฉริยะ

  • ควบคุมอารมณ์ ได้ดีกว่าควบคุมตลาด


🧠 ความเข้าใจผิดที่ทำให้นักลงทุนล้มเหลว


  • คิดว่าความผันผวนคือความเสี่ยง

  • ไม่ยอมตัดขาดทุน

  • โลภ → เพิ่มขนาด Position โดยไม่มีระบบ

  • เบื่อ → เทรดช่วงตลาดไม่มีเทรนด์

  • โทษตลาด โทษระบบ แต่ไม่โทษอารมณ์ตัวเอง


🔑 โครงสร้างระบบ Trend Following

องค์ประกอบ

คำอธิบาย

Entry

เข้าซื้อ/ขายเมื่อราคาทะลุ High/Low ที่ตั้งไว้

Position Sizing

กำหนดขนาดการเทรดที่ปลอดภัย

Stop Loss

กำหนดขาดทุนสูงสุดในแต่ละดีล

Exit Strategy

ออกเมื่อราคากลับตัว หรือจบเทรนด์

Portfolio Management

กระจายการลงทุนในหลายตลาด

🧨 ทำไม Trend Following " ขัด " กับธรรมชาติของมนุษย์ ?

  • มนุษย์ต้องการ "เดา" แต่ Trend Follower " ไม่เดา "

  • มนุษย์ไม่ชอบขาดทุน แต่ระบบนี้ "ยอมขาดทุนเล็กๆ" เพื่อปกป้องพอร์ต

  • มนุษย์อยากรู้สึกว่าควบคุมได้ แต่ตลาดจริง " ควบคุมไม่ได้ "


Trend Following จึงไม่ใช่แค่เรื่องกลยุทธ์เทรด — แต่มันคือเรื่องวินัย และการเข้าใจธรรมชาติของตัวเอง




ree



1.  แนวทางเทรด


Covel เริ่มจากการปลดมายาคติพื้นฐานว่า "ตลาด" ไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือเครื่องมือตรวจจับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น แต่มันคือ “สนามประลอง” ที่ผู้คนซื้อขายจากความกลัว ความโลภ ความไม่รู้ และความหวัง


ซึ่งแปลว่า ราคาที่คุณเห็น คือข้อเท็จจริงเดียวที่วัดได้ ส่วนเหตุผลเบื้องหลังราคานั้น...คือเสียงลือเสียงเล่าอ้าง


Trend Following คือระบบการเทรดแบบ mechanical ที่ไม่ขึ้นกับอารมณ์ ใช้กฎชุดเดียวตัดสินใจทั้งหมด — โดยมีเพียงข้อมูลเดียวที่สนใจ = ราคา


เทรดเดอร์แนวนี้ไม่สนว่าทำไมราคาขึ้น

ไม่สนข่าว ไม่ดูงบ ไม่คำนวณ PE

ไม่พยายาม “ทำนาย” ว่าตลาดจะไปไหน


แต่รอให้เทรนด์ปรากฏ แล้ว “ กระโดดขึ้นไปด้วย ”


“ ถ้าราคาวิ่งไปข้างบน – เราตาม

ถ้าราคาวิ่งลง – เราก็ยังตาม

และถ้าไม่มีเทรนด์ – เรานั่งดูเฉยๆ ”




2.  ทำไม “ ข้อมูลพื้นฐาน ” ถึงหลอกคุณได้


Covel โจมตีแนวคิด fundamental analysis อย่างตรงไปตรงมา โดยชี้ให้เห็นว่า


บริษัทสามารถตกแต่งงบได้

ตัวเลขเศรษฐกิจล่าช้าและถูกตีความแบบผิดทิศทางเสมอ

“ข่าวดี” ไม่ได้หมายความว่าราคาจะขึ้น


เขายกตัวอย่างคำอธิบายตลาดจาก Yahoo Finance ที่เต็มไปด้วยคำว่า “อารมณ์เปราะบาง”, “แรงเทขาย”, “ความกังวล” โดยไม่มีใครอธิบายได้ว่าข้อมูลเหล่านี้เกี่ยวข้องกับราคาจริงหรือไม่


และประโยคสุดกวนจาก Ed Seykota เทรดเดอร์ในตำนาน


“ถ้าคุณปล่อยมีดหล่นจากโต๊ะลงมาแทงเท้า แล้วรอให้มันลอยกลับขึ้นไป — คุณเป็นนักวิเคราะห์พื้นฐานแน่นอน”




3.  ความเข้าใจผิดเรื่อง “ Technical Analysis ”


แม้แต่คำว่า “เทคนิคอล” เองก็ยังถูกเข้าใจผิด

Covel แยกชัดเจนว่า มีสองสาย


1.Predictive Technical – พวกพยายามเดาว่ากราฟจะไปทางไหน เช่น ใช้ MACD, RSI, ฟีโบนักชี ฯลฯ


2.Reactive Technical (Trend Following) – พวกที่ไม่สนกราฟ ไม่วิเคราะห์ ไม่พยากรณ์ แต่ใช้ “ราคา” อย่างเดียวเพื่อเข้าสู่ระบบ


Trend Following = เทรดเมื่อราคา confirm เท่านั้น ไม่มีการเดา ไม่มีการคาดหวัง



4.  Discretionary vs Mechanical


ความต่างสำคัญอีกประการคือ “วิธีตัดสินใจ”


Discretionary = ใช้ความรู้สึก สัญชาตญาณ ประสบการณ์ และมุมมอง


Mechanical = วางกฎตายตัว เช่น “หากราคาทะลุ High 50 วัน และ ATR อยู่ในระดับ X ให้เข้าซื้อ”


Trend Followers มองว่าระบบ mechanical ช่วยกำจัดความโลภ ความกลัว และอคติทางอารมณ์ออกจากกระบวนการได้มากที่สุด — และที่สำคัญคือ ช่วยให้คุณ “อยู่รอด” ระยะยาวได้จริง



5.  เทรนด์คือเพื่อนของคุณ (แต่คุณต้องรู้จักรอ)


“เทรนด์คือสิ่งที่คุณเห็นหลังจากมันเริ่มไปแล้วเสมอ”


Trend Followers ไม่สนว่าจะ “เข้าช้า” หรือ “ออกไม่ทัน”

พวกเขาสนแค่สิ่งเดียว: ทำกำไรจากกลางเทรนด์


ระบบที่ดีไม่จำเป็นต้อง “ชนะบ่อย”


แต่สิ่งที่มีคือระบบที่ทนทาน (robust)

และความเข้าใจธรรมชาติของความไม่แน่นอน


6.  ผลตอบแทนที่ “ไม่แฟนซี” แต่ “จริง”


Covel ยกข้อมูลผลตอบแทนจาก Trend Followers ชื่อดัง


Bill Dunn

John W. Henry

Campbell & Company


ผลลัพธ์ของพวกเขา:

ผลตอบแทนทบต้นนานหลายสิบปี

สร้างผลลัพธ์เหนือกว่า S&P 500 ในช่วงที่ตลาด crash

มี drawdown แบบสุภาพ (เจ็บได้ แต่ไม่เจ๊ง)


ในขณะที่นักลงทุนทั่วไปเจอ drawdown แบบ “ลืมทางกลับบ้าน”

Trend Followers เจอ drawdown แบบ “ลุกขึ้นได้แล้วเดินต่อ”



7.  เหตุการณ์ใหญ่ที่ “ไม่มีใครเดาได้” แต่เทรนด์รู้ทัน


Covel ไม่ได้ขายฝัน เขาขนกรณีศึกษามายัน


1.  ฟองสบู่ดอทคอม (2000–2002)

นักลงทุนรายย่อยติดดอย Nasdaq เป็นสิบปี

Trend Followers เข้า short หุ้นเทคแล้ว “อยู่เฉย ๆ” ปล่อยให้เทรนด์ทำงาน

ไม่มีใครรู้ว่าฟองสบู่จะแตกวันไหน

แต่ราคาเริ่มลง → ระบบสั่งขาย → เทรนด์ทำงาน



2.  LTCM ล่ม (1998)

Hedge Fund ที่ “เก่งที่สุดในโลก” โดยนักเศรษฐศาสตร์เจ้าของโนเบล

ใช้โมเดลที่ “แม่นยำระดับทศนิยม” → แต่ดันล้ม เพราะโมเดลไม่เผื่อ “Black Swan”

Trend Followers ไม่เข้าใจว่ามันล่มเพราะอะไร แต่ราคาเบี้ยวแรง → เทรนด์มา → ระบบเข้า

ไม่ต้องเข้าใจ “ตรรกะ” ก็ได้กำไรจาก “พฤติกรรมราคา”



3.  Barings Bank พัง (1995)

โบรกเกอร์เพียงคนเดียวเทรดผิดทาง → ทำธนาคาร 200 ปีล่มสลาย

ขณะที่ตลาดถล่ม Trend Follower อย่าง John W. Henry กลับ “บวก”

เพราะเขาไม่พยายามหาว่า “ทำไมตลาดลง” — เขาแค่ทำตามระบบที่บอกว่า “ขายได้แล้ว”



4.  วิกฤตเอเชีย (1997)

ค่าเงินไทย อินโด เกาหลี พังไม่เป็นท่า

ตลาดทุนเอเชียโดนเทขายแบบไม่ทันตั้งตัว

เทรนด์ฟอร์โลเวอร์ short ค่าเงินและหุ้นสกุลนั้นแบบ “ไร้อารมณ์”

เพราะราคา break กรอบลง → เข้า short → กำไรชัดเจน



8.  วัฏจักรที่ทำให้ Trend Following รอดทุกครั้ง


ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต Covel จะย้ำเสมอว่า


“ตลาดไม่ได้พังเพราะเทรนด์มันโหด

แต่คนพังเพราะมั่นใจเกินไปว่าตัวเองฉลาดกว่าเทรนด์”


Trend Follower ไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้มากกว่าตลาด

พวกเขายอมรับว่า “ไม่รู้” และวางระบบเพื่อ “ตอบสนอง” ไม่ใช่ “คาดการณ์”


ระบบนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าใจเศรษฐศาสตร์

แค่เข้าใจว่า “ราคาที่เปลี่ยน คือสัญญาณที่ชัดพอแล้ว”




9.  ความผันผวน ≠ ความเสี่ยง


Covel ชี้ชัดว่า คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า “Volatility = Risk”

แต่จริง ๆ แล้ว



ความเสี่ยงที่แท้จริง คือโอกาสที่คุณจะ “ขาดทุนจากการเทรดหนึ่งครั้ง” ไม่ใช่กราฟที่เหวี่ยงขึ้นลง เพราะกราฟเหวี่ยงแปลว่า “ตลาดกำลังเคลื่อนไหว” ซึ่งคือพื้นที่ของโอกาสสำหรับคนที่มีระบบ



Covel ตอกย้ำว่า Trend Following ไม่ได้หวังให้ตลาดนิ่ง เพราะตลาดนิ่ง = ไม่มีเทรนด์ = ไม่มีโอกาส ความผันผวนจึงไม่ใช่ศัตรู แต่เป็น “วัตถุดิบ” ของกำไร เพราะถ้าราคาไม่เคลื่อนไหว คุณไม่มีวันมีกำไรจากการตามเทรนด์ได้เลย



คนที่เข้าใจระบบจริง ๆ จะรู้ว่าความผันผวนไม่ใช่ปัญหา ถ้าคุณวาง position size ให้เหมาะสม, ใช้ stop-loss ที่มีเหตุผล, และจัดพอร์ตอย่างเป็นระบบ



เทรดเดอร์อย่าง Bill Dunn จึงไม่พยายาม “ลดความผันผวน” เขายอมรับมัน และสร้างระบบที่จัดการมันได้ เพราะเขารู้ว่า “Volatility คือของจริง และของจริงไม่เคยนิ่ง”



แน่นอนว่าผันผวนสูง = โอกาสเกิด drawdown ก็สูง แต่ Covel ชี้ว่า drawdown ไม่ใช่คำหยาบ ถ้าคุณเข้าใจระบบของคุณเองดีพอ เช่น Dunn Capital ที่เคย drawdown ถึง 52% ในอดีต แล้วสามารถฟื้นกลับได้เร็วและต่อเนื่อง เพราะระบบถูกออกแบบมาให้ “ทนแรงเหวี่ยง” ได้



และนี่คือจุดต่างของคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจความผันผวน

คนแรก จะเตรียมใจและเตรียมระบบ

คนหลัง จะเตรียมดึงเงินออกเพราะตกใจในสิ่งที่ไม่เคยเข้าใจแต่ต้น



นักวิเคราะห์ด้าน hedge fund อย่าง Nicola Meaden ถึงกับแยก volatility ของเทรดเดอร์แนว Trend Following ว่าเป็น “Upside Volatility” ซึ่งต่างจาก volatility ทั่วไป เพราะพวกเขา “เสียเล็ก ๆ บ่อย ๆ” แต่ “ได้ที = ได้ใหญ่” กลายเป็นกราฟที่เหวี่ยงแรงฝั่งบวก โดยที่ค่า Sharpe Ratio กลับไม่สามารถวัดความจริงนี้ได้เลย



“Volatility is not risk. Unpreparedness is.”




10.  พฤติกรรมมนุษย์คือศัตรูเบอร์หนึ่งของนักเทรด


Covel ไม่อ้อมค้อมเลยว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้แพ้ตลาดเพราะขาดข้อมูล

แต่แพ้เพราะ “ใจไม่นิ่ง” และ “เอาอารมณ์มาเทรด”


Trend Following ถูกออกแบบมาเพื่อ “ปิดช่องโหว่ทางจิตวิทยา”

เพราะตลาดไม่ต้องฉลาดกว่าคุณ

แค่มันต้องรอให้คุณ “เหนื่อย ท้อ โลภ หรือดื้อ” แล้วคุณก็จะพังเอง




11.  Prospect Theory: สมองมนุษย์เกลียด “ขาดทุน” มากกว่า “ชอบกำไร”


Daniel Kahneman กับ Amos Tversky บอกว่า

คนเราจะ “รู้สึกแย่” เวลาขาดทุน มากกว่าความ “ดีใจ” ตอนได้กำไร ในสัดส่วนประมาณ 2:1


นั่นหมายความว่า

ขาดทุน 1,000 บาท = เจ็บแบบระดับ 10

ได้กำไร 1,000 บาท = ฟินแค่ระดับ 5



สิ่งนี้ทำให้คน “ไม่กล้าตัดขาดทุน” เพราะไม่อยากเจ็บ

และ “รีบขายกำไร” เพราะกลัวจะหายไป

สุดท้ายคือ ถือของที่แพ้ไว้นาน และขายของที่ชนะเร็วไปเสมอ



Trend Following ถูกออกแบบให้ตรงข้ามกับธรรมชาติของสมองมนุษย์




12.  การใช้เหตุผลแบบย้อนกลับ


Covel ยกตัวอย่างการที่คนมักพูดว่า


“รู้งี้น่าจะซื้อตอนนั้น”

“ตอนนั้นก็คิดไว้แล้วแหละว่าไม่น่าใช่”

“เห็นมั้ย! ข่าวมันฟ้องชัดอยู่แล้ว!”



ทั้งหมดคือ hindsight bias

คือการเชื่อว่าตัวเอง “รู้” ย้อนหลัง ทั้งที่ตอนจริง “ไม่กล้าทำอะไรเลย”



Trend Follower ไม่มี hindsight

เพราะมันไม่ใช้การเดา → มันใช้ระบบ

ถ้าเทรนด์มา → เข้าตามระบบ

ไม่ต้องย้อนคิดว่า “น่าจะรู้ก่อนคนอื่น”




13.  กลไกอารมณ์ ศัตรูตัวจริงของการเทรด


กลัว

ไม่กล้าเข้าเทรด

เทรดแล้วรีบออก

ขายตอน panic


โลภ

เทรดใหญ่กว่าที่ควร

เสี่ยงเกินพอร์ต

ไม่ตัดขาดทุน


ดื้อ

ถือหุ้นผิดทางเพราะ “มั่นใจว่ามันจะกลับมา”

ดื้อเพราะกลัวเสียหน้า

ดื้อเพราะติด story


เบื่อ

เทรดตอนตลาดไม่ชัด เพราะ “อยากทำอะไรสักอย่าง”

เข้าออกบ่อยเกิน เพราะ “กลัวจะพลาดกำไร”

Covel ชี้ว่า เทรดเดอร์จำนวนมากไม่ได้แพ้ตลาด

แต่แพ้ ช่วงที่ไม่มีอะไรให้ทำ แล้วตัวเองก็ทำอะไรบางอย่าง



Trend Following เลย “ กำจัดความอยาก ” ด้วยระบบที่ชัดเจน

ไม่มีเทรนด์ = ไม่ทำอะไร




14.  เทรดเดอร์ไม่ต้องมี IQ สูง — ต้องมี EQ ที่นิ่งกว่า


Covel ไม่เชื่อว่า “คนฉลาดจะเทรดดีกว่า”

แต่เชื่อว่า “คนที่ควบคุมตัวเองได้ดีกว่า จะรอด”


เพราะตลาดไม่ให้รางวัลคนที่รู้เยอะ

แต่มันให้รางวัลคนที่ “ไม่หลุด”


ระบบ Trend Following ช่วยให้คนธรรมดาเทรดได้ดี

เพราะมันไม่พึ่งอารมณ์ ไม่ใช้การตีความ ไม่ใช้ฟอร์มเฉพาะตัว

แค่ทำซ้ำ ทำซื่อๆ ทำอย่างวินัย




15.  Charles Faulkner & Ed Seykota เทรดเดอร์คือ “ วิธีคิด ” ไม่ใช่แค่ “ วิธีเทรด ”


Faulkner วิเคราะห์ว่า เทรดเดอร์ที่ดีมีลักษณะร่วมกัน


คิดเป็นระบบ

ไม่ personalize ความผิดพลาด

มีความสงสัยแบบสร้างสรรค์ (Curiosity over Certainty)

ทนเบื่อเก่งกว่าทนเจ็บ


Seykota สะท้อนแนวคิดนี้ผ่านสิ่งที่เขาสร้างขึ้นชื่อว่า Trading Tribe — เครือข่ายนักเทรดทั่วโลกที่มาพบกันเป็นประจำเพื่อทำ “กระบวนการสลายอารมณ์” (dis-solving process) ซึ่งเขาเชื่อว่าคืออุปสรรคตัวจริงของความสำเร็จ ไม่ใช่ระบบเทรด ไม่ใช่ข่าว ไม่ใช่ตลาด​


เขาอธิบายว่า ความล้มเหลวของเทรดเดอร์จำนวนมากไม่ได้เกิดจากกลยุทธ์แย่ แต่เกิดจากการเทรดเพื่อ “ปลดปล่อยอารมณ์บางอย่าง” เช่น ความโกรธ ความกลัว หรือแม้กระทั่งความรู้สึกผิด พวกเขาไม่ได้เทรดเพื่อชนะ แต่เพื่อหนีจากอะไรบางอย่างในใจ ซึ่งแน่นอนว่า…มันแพ้ทุกครั้ง



สมาชิกใน Trading Tribe จะฝึกการหายใจแบบเจาะจง เพื่อนำตัวเองเข้าสู่สภาวะที่สามารถ “เผชิญหน้ากับอารมณ์ที่กำลังหนี” โดยไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องแก้ไข แต่แค่ ยอมให้มันโผล่มา แล้วปล่อยให้มันผ่านไป



หนึ่งในลูกศิษย์ของ Seykota บอกไว้ว่า “สิ่งที่เราทำไม่ใช่การ ‘แก้ปัญหา’ แต่เป็นการ ‘หยุดสร้างปัญหา’ ซ้ำเดิมจาก conditioning เดิม” ซึ่งลึกและทรงพลังมาก​



กระบวนการนี้ทำให้หลายคนตระหนักว่า “ระบบที่แท้จริงไม่ใช่สูตร MACD หรือ ATR แต่คือ อารมณ์ที่คุณยังไม่กล้ารู้สึก” และตราบใดที่คุณยังหนีจากอารมณ์บางอย่าง เทรดของคุณจะหนีจากระบบทุกครั้ง



Seykota เรียบเรียงหลักคิดนี้ไว้ในคำพูดเรียบง่าย แต่แทงทะลุว่า


“Your real trading system is the set of feelings you are unwilling to experience.”




16.  ระบบดีแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์ถ้าคุณ “ไม่ทำตาม”


ระบบมีจุดเข้า จุดออก จุดตัดขาดทุน

แต่คุณ “อยากลองขยับ stop ดู”

หรือ “รู้สึกว่าไม่น่าตัดตอนนี้เลย”

หรือ “ใจมันยังไม่ยอมแพ้”


สุดท้าย…คุณก็ไม่ใช่ Trend Follower

คุณคือ Human Interferer


ระบบ mechanical ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน

แต่เรื่องยากที่สุดคือ “เลิกแทรกแซง”




17.  กลไกของระบบ — เทรดไม่ต้องเดา แต่ต้องมีแผน


Covel ย้ำว่า Trend Following มันคือ "ระบบ" ที่วางไว้ล่วงหน้า


ระบบประกอบด้วย 5 ส่วนหลัก


1.เงื่อนไขเข้าเทรด (Entry Criteria)

2.ขนาดการเข้าแต่ละครั้ง (Position Sizing)

3.จุดตัดขาดทุน (Stop Loss)

4.จุดออกเมื่อมีกำไร (Exit Criteria)

5.การจัดการพอร์ต (Portfolio Management)


และที่สำคัญที่สุด

ระบบต้องชัดพอจะเขียนเป็นโค้ดได้


ถ้าคุณยังพูดว่า “วันนี้รู้สึกน่าจะขึ้น” → คุณยังไม่มีระบบ




18.  ตัวอย่างระบบแบบบ้าน ๆ แต่โคตรใช้งานได้


Covel ยกตัวอย่างระบบของ Richard Donchian (ต้นตำรับ Trend Following):


“ซื้อเมื่อราคาทะลุ High 20 วัน

ขายเมื่อราคาหลุด Low 10 วัน

คิดขนาดสัญญาด้วย ATR

ใช้ stop-loss ล่วงหน้าทุกครั้ง

และแค่ทำซ้ำไป”


นี่คือระบบจริงที่เทรดมาเกินครึ่งศตวรรษแล้ว และยังเวิร์ก

เพราะมันมี 3 คุณสมบัติที่ตลาดแพ้ตลอด


1.ชัด

2.ซ้ำได้

3.ไม่ใช้ความรู้สึก




19.  Position Sizing “เทรดเล็ก” ไม่ได้แปลว่า “ไม่จริงจัง”


หนึ่งในจุดต่างของ Trend Follower คือ "ไม่ใช้ All-in"


พวกเขาเทรดแบบ “ขยับช้า ๆ แต่ไม่ล้มแรง”

เพราะเป้าหมายไม่ใช่ชนะวันนี้ — แต่คืออยู่ให้รอดทุกวัน


ตัวอย่างการกำหนดขนาด

ใช้ % ของพอร์ต (เช่น 1–2% ต่อดีล)

ใช้ ATR เพื่อให้เทรดสินค้าที่ผันผวนหนัก ด้วยจำนวนที่น้อยลง

เพิ่มหรือลด position แบบ progressive ตามพฤติกรรมราคา


Covel สรุปว่า

“คนที่อยากรวยเร็ว มักเทรดใหญ่เกินไป แล้วพังเร็วกว่าเทรนด์จะเกิดซะอีก”




20. Stop Loss วินัยที่คุณมักไม่ทำเวลาจำเป็น


Trend Follower ไม่เคยถามว่า “จะทนถือได้นานแค่ไหน”

แต่ถามว่า “จะตัดเมื่อไร”


ระบบจะตั้ง stop-loss ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่คิดสดตอนราคาเจ็บ

Stop อาจใช้ ATR, ใช้ % loss, หรือใช้แนวรับแบบง่าย ๆ


และที่สำคัญ...ทำทันที ไม่ลังเล ไม่เลื่อน ไม่ปลอบใจตัวเอง


Seykota เคยพูดว่า

“ถ้าคุณตัดขาดทุนไม่ได้ คุณไม่ใช่นักเทรด — คุณคือคนเล่นการพนันที่มีความรู้สึกดี”




21.  จุดออก ขายเมื่อระบบบอก


Covel บอกว่า

“คนส่วนใหญ่ไม่รู้จะขายเมื่อไร เพราะไม่รู้ว่าเข้ามาทำไม”


Trend Followers จะขายเมื่อ

ราคาหลุด low X วัน

EMA หรือเส้นเฉลี่ยตัดกันในทางตรงข้าม

หรือสัญญาณ stop กำไร (trailing stop) ทำงาน



สิ่งสำคัญคือ

“ไม่พยายามขายที่จุดสูงสุด — แค่ขายเมื่อระบบบอกว่าจบแล้ว”




22.  Portfolio Management: เทรนด์ไม่ได้มีแค่ในหุ้น


Trend Follower ไม่ได้ยึดติดกับ asset class เดียว

พวกเขาใช้แนวคิดเดียวกันกับ



Futures

Commodities

Currencies

Bonds

Indexes


ถ้า "มีราคา" และ "มีแนวโน้ม" = เทรดได้


Covel ย้ำว่า

“อย่าฝากชีวิตไว้กับสินทรัพย์แค่ตัวเดียว

เพราะเทรนด์เกิดสลับกัน คนเทรดหุ้นอย่างเดียวจะพลาดเทรนด์น้ำมัน ดอลลาร์ หรือทองคำแบบไม่รู้ตัว”




23.  Backtest, Walkforward, และ Reality Check


ระบบจะดี ต้อง “พิสูจน์ได้ย้อนหลัง” และ “รอดในสนามจริง”


Backtest กับข้อมูล 10–30 ปี

ใช้ Walkforward test ไม่ให้ overfit

ทดสอบ drawdown, volatility, และ max loss ที่เคยเจอจริง

เช็กว่าระบบยังทำงานใน “ตลาดใหม่” ไม่ใช่แค่ตลาดที่เคยรู้จัก


ถ้าระบบคุณสวยเฉพาะตอนซ้อม แต่เป๋ตลอดตอนแข่งจริง → ระบบนั้น “ยังไม่ผ่าน reality check”




24.  ทำไมแนวคิด Trend Following ถึง “ขัดกับธรรมชาติของมนุษย์”


Covel บอกชัด

“มันไม่ใช่แนวคิดที่ชนะใจมวลชน เพราะมันไม่ปลอบใจอีโก้ของใครเลย”


ใครจะอยากฟังว่าคุณไม่สามารถเดาอนาคตได้

ใครจะยอมรับว่าความรู้สึกของตัวเองไม่มีน้ำหนักเท่าราคา

ใครจะพอใจแค่ “ช้าแต่ชัวร์” แทน “ใหญ่แต่ไม่เคยได้จริง”


Trend Following ไม่ได้เปลี่ยนโลกนอกตัว — แต่มันเปลี่ยน "โลกในหัวคุณ"


Covel ย้ำว่า แก่นของการเป็น Trend Follower ไม่ใช่แค่ “เรียนรู้กลยุทธ์”

แต่มันคือการ “เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความไม่แน่นอน”


จาก “ฉันต้องรู้ก่อน” → เป็น “ฉันยอมรับว่าฉันไม่รู้”

จาก “ต้องเข้าเร็ว ต้องขายทัน” → เป็น “เข้าเมื่อระบบสั่ง ออกเมื่อระบบบอก”

จาก “ต้องเข้าใจข่าวทั้งหมด” → เป็น “ราคาบอกทุกอย่างแล้ว”


Trend Following มันคือการเลิกพยายามเป็นผู้ควบคุม

แล้วเริ่มยอมรับตัวเองในฐานะผู้ตอบสนองอย่างมีวินัย


ถ้าคุณไม่ยึดติดว่าต้องชนะทุกครั้ง

คุณจะเริ่มเล่นเกมเดียวกับตลาด ไม่ใช่แข่งกับมัน







ree


🏆 บทสรุป Trend Following

  • Trend Following คือระบบที่ยอมรับว่าคุณไม่รู้อนาคต

  • ราคาบอกทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องรู้

  • ความสำเร็จไม่ได้มาจากการชนะบ่อย แต่มาจากการควบคุมตัวเอง

"Trend Following is not prediction. It is reaction."

 
 

Be in the Know

"อย่าปล่อยให้ข้อมูลสำคัญหลุดมือ!"
อัปเดตข่าวสารและเทรนด์การเทรดล่าสุดก่อนใคร

ด้วยการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ ให้คุณพร้อมรับมือทุกโอกาสในตลาด รู้ก่อน...ได้เปรียบกว่า!

Social Media

Contact

bottom of page